เที่ยวกาญกับน้องมูจิและน้องมิกุ ?????
เผลอแปรปเดียว นี่ก็ใกล้จะหมดเดือนมกราคมแล้ว ?
เวลาผ่านไปไวจริงๆ หลายๆคนคงเพิ่งไปฉลองปีใหม่กันมาอย่างสนุกสนาน ส่วนตอนนี้ก็คงเข้าสู่โหมดขยันทำงานเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในวันหยุดยาวครั้งต่อไปใช่ไหมครับ
ส่วนพวกเราครอบครัว Muji Sama นั้น เราไม่ได้ไปฉลองปีใหม่ที่ไหนเลย พยายามหลีกเลี่ยงการเที่ยวช่วงเทศกาล เนื่องจากการจะพาน้องหมาน้องกระต่ายไปเที่ยวในที่ที่คนเยอะๆดูจะลำบากมากขึ้น จากการพักผ่อนอาจกลายเป็นการทรมานทั้งตัวเราและสัตว์เลี้ยงที่รักของเราได้ พวกเราเลยใช้ช่วงเวลาปีใหม่พักผ่อนทำตัวขี้เกียจอยู่บ้าน พอคนกลับมาจากเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ถึงตาพวกเราที่จะออกไปเที่ยวกันบ้าง
พวกเราแพลนทริปนี้ตั้งแต่ช่วงกลางธันวาคม 2559 เราจะเดินทางไปเที่ยวกันที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ นั่นคือ จังหวัด กาญนะจ๊ะบุรี เฮ้ยยยย…. กาญจนบุรี ต่างหาก (ยังจะกล้าเล่นมุก 5 บาท 10 บาท) ครั้งสุดท้ายที่ผมมา กาญจนบุรี น่าจะเป็นช่วง ม.6 ตอนมาเข้าค่าย รด ที่เขาชนไก่ ถึงตอนนี้ถ้าให้นับก็ปาไป 18 ปีแล้ว รู้อายุกันเลยทีเดียว ภาพความทรงจำเกี่ยวกับกาญจนบุรีได้หายไปจากหัวสมองผมนานจนจำไม่ได้แล้วว่าต้องเดินทางกี่ชั่วโมง ผมคิดมาตลอดว่าเดินทางไปกาญจนบุรีใช้เวลา 4 ชั่วโมง แต่พอเปิด Google map จึงทำให้ได้รู้ว่าเดินทางไปกาญจนบุรีนั้นใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงแล้ว ใกล้กว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก
อย่างที่บอกไปเมื่อตอนเริ่มต้นว่าเราพยายามหลีกเลี่ยงการเที่ยวในช่วงเทศกาล และวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทุกครั้งที่เราพาน้อง Muji และ Miku ?? ไปเที่ยวเลยมักจะเป็นช่วงวันธรรมดาซะส่วนใหญ่ แพลนของทริปนี้จึงเป็นวันที่ 10-12 มกราคม 2560 วันที่ออกเดินทางกว่าล้อรถจะเคลื่อนก็ปาไปเกือบเที่ยง การขับรถไปจังหวัดกาญจนบุรี ทำได้ง่ายมาก
พวกเรามุ่งหน้าไปทางนครปฐม ขับไปเรื่อยๆ พักจอดแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อของกินบ้างนิดหน่อย ช่วงที่เราไปนั้นมีมรสุมเข้าทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกตลอดทั้งวัน และเท่าที่พวกเราเชคสภาพอากาศ ตลอดทั้งทริปนี้จะมีฝนตกเกือบทุกวัน ช่างดีอะไรเช่นนี้ 555 ข้อดีคือแดดไม่ร้อน แต่เม็ดฝนเล็กๆแบบนี้ก็ก่อให้เกิดความน่ารำคาญใจไม่ใช่น้อย
ระหว่างเดินทางไม่มีอะไรติดขัดเพราะเราขับตาม Google map แต่พอใกล้ถึงที่พักงานก็เข้าทันที หลายต่อหลายครั้งที่ผมเลือกขับรถตาม Google map แผนที่ที่นำไปมักมีความคลาดเดลื่อนอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้ก็เช่นกัน Google map บอกให้พวกเราเลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอย จากใน map ก็ routing มาถูกที่ แต่เรารู้สึกว่ามีความผิดปกติ ที่ทำไมไม่มีชื่อที่พักด้านหน้าทางเข้าแต่ก็ยังเลือกที่จะเชื่อ Google map ต่อไป ทางเข้าเป็นลูกรัง และเนื่องจากมีฝนตกทั้งวันเลยทำให้ถนนเส้นนี้มีหลุมใหญ่ขวางทางเข้าอยู่ ผมเห็นหลุมก็คิดในใจแล้วว่าจะตกหล่มหรือไม่ พวกเราพยายามขับคร่อมหลุมเพราะคิดว่าน่าจะพ้น แต่ที่ไหนได้ พอขับเข้าไปล้อรถก็ตกไปที่หลุมพอดิบพอดี จะเดินหน้าล้อก็ฟรี ขับต่อไม่ได้ พอเราจะถอยหลังล้อก็ฟรีอีก ในใจก็คิดว่า อิบอ๋ายแล้วเรา จะทำยังไงดี เลยโทรหาพี่ที่มาด้วยกันเพื่อสอบถามว่า ที่พักอยู่ตรงไหนกันแน่ มาทราบทีหลังว่า ทางที่ผมเลี้ยวเข้าไป มันอยู่คนละฝั่งโดยมีแม่น้ำคั่นกลาง Google map พาหลงอีกแล้ว นี่จะให้พวกเราว่ายข้ามน้ำกันไปเลยหรอ อันนี้ฝากเตือนทุกคนด้วยนะครรับ Google map ฉลาดแต่ก็พลาดได้ เข้ากับสุภาษิตไทยโบราณที่ว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์อย่าง Google ยังรู้พลั้ง
ภาพตัดกลับมาที่รถเราตกหล่ม เราหาไม้มาวางก็แล้ว ล้อก็ยังฟรีอีก แต่โชคดีที่มีรถลากผ่านมาพอดี พี่คนขับใจดีสองคนก็เดินเข้ามาถามว่า รถเป็นอะไร เราก็ตอบเขาไปว่ารถติดหล่มครับ กำลังจะถอยหลังออกเพราะมาผิดทาง แต่ไม่สามารถถอยออกไปได้ พี่เขาเลยบอกว่าให้เราใส่เกียร์ถอยหลังแล้วเขาจะช่วยดันรถให้ ในที่สุดพวกเราก็ออกมาจากหล่มได้ ต้องขอบคุณพี่ๆที่น่ารักทั้งสองที่ผ่านมาช่วยพวกเราไว้ คำว่าคนไทยใจดีมีน้ำใจยังใช้ได้เสมอ
หลังจากนั้นเราก็ขับรถข้ามสะพานเล็กๆไปก็เห็นชื่อที่พัก Le Bassin Resort ติดอยู่ที่ทางเข้า Google map พามาถูกทางเพียงแต่ผิดฝั่งแม่น้ำไปนิดเดียวเอง ในที่สุดเราก็มาถึง Le Bassin Resort เวลาประมาณ 3 โมงเย็น เอาของเข้าที่พัก บรรยากาศใน Le Bassin Resort ค่อนข้างเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัว ห้องพักเราหันหน้าเข้ากับแม่น้ำ จึงทำให้เห็นวิวป่าไม้และแม่น้ำด้านหลัง เราใช้เวลานั่งพักกินขนมคุยเล่นกันอยู่ประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง วันนี้เรามีนัดที่จะนั่งแพออกไปกินข้าวกันที่แม่น้ำ พอแม่ครัวทำอาหารเสร็จ พนักงานก็เดินมาบอก
พวกเราว่า อาหารพร้อมแล้วในแพ ก่อนแพจะออกท้องฟ้าก็ครึ้มอีกครั้งมีฝนตกปรอยๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดพวกเราได้ จะหยุดได้ไงหล่ะ ก็จ่ายเงินไปหมดแล้วนี่นา จะไม่ไปก็คงเสียดายเงินแย่ เราเลยนั่งแพออกไปโดยมีลุงคนขับเรือลากแพเราไปเรื่อยๆ ในใจก็สงสารลุงอยู่เหมือนกันครับเพราะตลอดเวลาที่แพลอยอยู่ในน้ำนั้น ฝนตกลงมาตลอด เรานั่งกินข้าวไปพร้อมกับชมบรรยากาศรอบๆ สองข้างทางนั้นเป็นป่าขนานคู่ไปกับแม่น้ำ สวยและสงบมากๆ เราใช้เวลาอยู่บนแพประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง
กินข้าวถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน เนื่องจากวันนี้ไม่มีแขก เลยทำให้ทั้งแพเป็นของเรา ดาราหน้ากล้องไม่ใช่ใครอื่น น้องมูจิ กับพี่ต้าร์ ผลัดกันเป็นนายแบบนางแบบให้พวกเราได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก เมื่อก่อนเรายังถ่ายรูปตัวเราเองบ้างเวลาไปเที่ยว พอตั้งแต่มีหมาและสัตว์เลี้ยงตัวอื่น เราก็เลือกที่จะถ่ายรูปสัตว์ซะส่วนใหญ่ เรากลับมาถึงที่พักประมาณ หกโมงกว่า นั่งกินข้าวต่อที่ร้านอาหารของรีสอร์ทกันจนหมด และแยกย้ายกันเข้าที่พัก
เช้าวันที่ 2 เราตื่นมาทานข้าวที่ทาง รีสอร์ท เตรียมไว้ให้ตอน 9 โมงเช้า ฝนยังไม่จากเราไปไหน เพราะตกมาทั้งคืนทำให้หญ้าที่รีสอร์ทชุ่มช่ำไปด้วยน้ำฝน อาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้นั้นน่ารับประทานมากๆ เนื่องจากวันธรรมดาแขกค่อนข้างน้อย อาหารจึงไม่ใช่แบบบุฟเฟ่ต์แต่เป็นอาหารที่ปรุงพิเศษให้พวกเรา มีทั้งครัวซองปิ้งบนเตาถ่าน English breakfast และข้าวต้มเครื่อง อาหารรสชาดอร่อย บวกกับหมอกที่คลุมรอบพื้นที่ ช่างเป็นการพักผ่อนที่ดีมากจริงๆ หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เราก็ไปพักผ่อนกันต่อที่ห้อง ตรงระเบียงห้องมีชิงช้าให้นั่ง มีโต๊ะให้เอนกาย รับลมเย็นๆ วันนี้เรามีแพลนกันว่าจะขึ้นไปบนเขื่อนศรีนครินทร์ พออากาศเริ่มดีไม่มีฝนเราก็รีบออกจากรีสอร์ท มุ่งหน้าขึ้นไปบนเขื่อนใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจากที่พัก ก็มาถึงด้านบนของเขื่อนศรีนครินทร์ พอมาถึงฝนก็เทลงมาอีกรอบ ทำให้เราต้องเข้าไปหลบในที่ร่มรอจนกว่าฝนจะหยุดถึงออกมาถ่ายรูปกัน นี่เป็นครั้งแรกของผมที่มาเขื่อน ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าด้านบนจะสวยขนาดนี้ เหมือนอยู่ต่างประเทศเลยครับ ยิ่งมีหมอกลงแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งสวยเข้าไปอีก
ทีแรกพวกเราก็คิดกันว่าอยากจะไปนอนที่แพบนเขื่อน แต่เนื่องจากที่พักในเขื่อนหลายที่เปลี่ยนนโยบายใหม่ไม่ให้นำสุนัขเข้ามาพัก เรื่องคิดที่จะมานอนบนแพเลยตกไป เราหมดเวลาไปกับการชมวิวและถ่ายรูป จะคนชาติไหนไปเที่ยวแต่ละทีก็มักจะถ่ายรูปกันไม่หยุด พวกเราก็เป็นครับ 555 ทำไงได้ก็เราอยากมีรูปน้อง Muji กับวิวสวยๆเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งนึงเราเคยมาเที่ยวกันที่นี่ ที่เขื่อนศรีนครินทร์นั้นปิดเวลา 6 โมงเย็น เราลงมาจากเขื่อนเวลาประมาณ 5 โมงครึ่ง และแวะทานข้าวก่อนเข้าที่พัก มื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องกันที่ บ้านต้นน้ำ ร้านสะอาดน่านั่ง อาหารอร่อย ราคาไม่แพงครับ พอกินเสร็จเราก็เดินทางกลับที่พัก สลบเหมือดกันไปตามระเบียบ
เช้าวันที่ 3 เชคเอ้าท์ออกจากรีสอร์ท ประมาณเที่ยง
ระหว่างทางเจอร้านกาแฟ 3199 cafe’
ที่นี่จริงๆช่วงที่เราไปมี 3199 Mountain Camp ด้วย ตอนแรกก็ว่าจะมาพักที่นี่ ครั้งแรกที่ผมติดต่อไปเขาบอกว่าสามารถพาน้องหมาเข้าพักได้ แต่ตอนที่เราจะจองที่พักเราถามไปอีกครั้งเขาบอกว่าห้ามนำสุนัขเข้ามาพัก หลายๆที่นโยบายการเข้าพักก็อาจเปลี่ยนไป
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่จะพาสัตว์เลี้ยงไปพักที่ไหน อย่าลืมสอบถามก่อนทุกครั้งนะครับ ครั้งที่แล้วพักได้ก็ใช่ว่าจะพักได้ตลอด อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาจจะเป็นเพราะบางทีคนที่นำสัตว์เลี้ยงเข้าพัก แล้วไม่ได้ดูแลเรื่องความสะอาดเรียบร้อย
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เจ้าของที่พักบางที่ปฎิเสธไม่ให้นำสุนัขเข้าพักอีกก็เป็นได้ จึงอยากฝากทุกๆคนที่มีสัตว์เลี้ยงนะครับ เวลาพาน้องหมาหรือสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นไปเที่ยวกับเรา เราควรให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ให้มากๆ ไม่ใช่ทุกคนจะรักสัตว์เลี้ยงเหมือนเรา พวกเราจะได้มีที่พักดีๆที่ให้น้องหมาเข้าพักได้เยอะขึ้น ที่ร้าน 3199 cafe’ เราได้เจอกับพี่เจ้าของร้าน ซึ่งเขาก็เลี้ยงน้องหมาเหมือนกัน เลยเล่าให้เขาฟังเรื่องที่พัก พี่เขาก็บอกว่าจริงๆแล้วสุนัขเข้าพักได้นะ เพียงแต่วันนั้นคนที่ตอบคำถามอาจจะไม่รู้เลยตอบไปว่าไม่ได้ เรานั่งกินกาแฟ คุยกันยาวเรื่องน้องหมา ตามสไตล์คนรักสัตว์เลี้ยงเหมือนกัน เลยคุณกันยาว ทั้งพี่ผู้หญิงและลูกชายเจ้าของร้านนั้น Friendly และต้อนรับพวกเราแบบอบอุ่นมาก หลังจากนั้นเราก็เดินทางมุ่งหน้ากลับบ้าน เป็นการปิดทริปสั้นๆสบายๆอีกหนึ่งทริปของพวกเรา ติดตามพวกเราได้กับทริปต่อไปเร็วๆนี้ครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ
ติดตามพวกเราได้กับทริปต่อไปเร็วๆนี้ครับ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ