Life, Photo, Travel

ตามน้องมูจิมาเที่ยวเกาะกูด 🌴🌤🐶🐰

ทริปนี้น้องมูและมิกุจะพาไปเที่ยวทะเลกัน 🌤

หลังจากทริปที่แล้วพวกเราพาทุกคนไปเที่ยวทางฝั่งตะวันตกของประเทศมาคราวนี้เราจะพาทุกคนข้ามมายังฝั่งตะวันออกของประเทศกันบ้าง ทริปนี้เราจะพาทุกคนไปเกาะกูด จังหวัดตราดกันครับ ผมจำได้ว่าเคยมาเกาะช้างเมื่อนานมาแล้ว แต่ครั้งนั้นไม่ได้เป็นคนขับรถ แต่เท่าที่จำได้คือใช้เวลานานมากกว่าจะถึง แต่ครั้งนี้ผมจะเป็นคนขับรถเองตลอดทริป ก่อนเดินทางผมจึงต้องทำการบ้านก่อนว่าการเดินทางใช้ระยะเวลากี่ชั่วโมง

เรามีนัดขึ้นเรือ High Speed Ferry ตอน บ่ายสองยี่สิบนาที อาจารย์ Google Map บอกกับผมว่าใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพมาถึงท่าเรือแหลมศอกใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ชั่วโมงครึ่ง แต่เพื่อความชัวร์ผมอยากเผื่อเวลาไว้สักชั่วโมงสองชั่วโมงเผื่อมีเหตุฉุกเฉินจะได้ไม่พลาดเที่ยวเรือ

ผมเลือกออกเดินทางเวลา 7 โมงครึ่ง เราเดินทางกันในเช้าวันอาทิตย์เพราะฉะนั้นรถไม่น่าจะติดเท่าไหร่ สิ่งที่ผมต้องแปลกใจมากคือการเดินทางนั้นสะดวกกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมาก และต้องบอกว่าตลอดสองข้างทางวิวสวยมากครับโดยเฉพาะช่วงจังหวัดจันทบุรี อากาศวันที่เราเดินทาง ช่วงเช้า 25 องศา ลมเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส ผมเลยขับรถด้วยความเพลิดเพลินใจเป็นพิเศษ เเวะพักรถ ซื้อขนม ขับไปเรื่อยๆ

เราก็มาถึงท่าเรือเวลา บ่ายโมงครึ่ง เท่ากับว่าเราต้องรออีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าเรือจะออก ท่าเรือที่เราเลือกใช้บริการชื่อว่า Boonsiri High Speed Ferries ค่าบริการไปกลับคนละ 1000 บาท ราคานี้รวมค่ารถสองแถวบนเกาะเรียบร้อยแล้ว ส่วนค่าจอดรถข้างคืนเขาคิดต่อคืนต่อคัน คันละ 50 บาท ส่วนค่าพาน้องหมาข้ามเกาะ สำหรับหมาตัวเล็กแบบน้อง Muji ค่าข้ามเรือราคา 100 บาท ส่วนถ้าเป็นตัวใหญ่ต้องทำการชั่งน้ำหนักและคิดค่าบริการอีกทีนึงครับ

บ่าย 2 โมง 20 นาที 🕑 เรือออกตรงเวลามากๆ บนเรือมีคนข้ามไปยังเกาะกูดค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพวกฝรั่งเสียมากกว่า สำหรับน้องหมาที่จะข้ามเกาะไปด้วยต้องนั่งบริเวณด้านนอก ขนาดของเรือไม่เล็กไม่ใหญ่มีสองชั้น และมีทั้งส่วนที่เป็น ห้องแอร์ และส่วนที่นั่งบริเวณด้านนอก ซึ่งส่วนนี้นั้นมักจะถูกจับจองด้วยฝรั่งที่รักสายลมและแสงแดด นั่งกันหนาแน่นมาก ส่วนคนไทยที่กลัวผิวจะดำ หน้าจะขึ้นกระขึ้นฝ้าก็มักจะไปนั่งหลบข้างในห้องแอร์เสียมากกว่า

การเดินทางด้วย High Speed Ferry ใช้เวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางมาถึงท่าเรือบนเกาะกูด ทั้ง Muji และ Miku ยังคงปลอดภัยไม่มีอาการเมาเรือแต่อย่างใด อันนี้อาจจะเนื่องจากพวกผมพาน้องๆขึ้นรถไปไหนมาไหนตั้งแต่เด็กด้วย เลยน่าจะทำให้พวกเขาเกิดความเคยชินกับการขึ้นยานพาหนะ อันนี้เป็นอีกอย่างที่ผมพยายามฝึกพวกเขาตั้งแต่เด็กให้คุ้นเคยกับสถาวะแวดล้อมที่หลากหลายเพื่อที่เขาจะได้ไม่กลัว และเป็นสัตว์ที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง ทนได้กับทุกสถานการณ์

เรื่องขึ้นเรือเรารู้อยู่แล้วว่าใช้เวลาเดินทางประมาณกี่นาที ส่วนยานพาหนะต่อไปที่เราต้องเดินทางคือรถสองแถว ในส่วนนี้เราไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน พอมาถึงที่ท่ารถ รถที่เราต้องขึ้นถูกจับจองโดยชาวต่างชาติ ทำให้เหลือที่นั่งอีกเพียงเล็กน้อย เราจับ Muji ใส่ในกระเป๋าเป๋สำหรับสุนัข ทำให้เราสามารถสะพายเขาได้ง่ายมากขึ้น ส่วน Miku เราให้เขาอยู่ในกระเป๋าลากสำหรับสัตว์ขนาดค่อนข้างใหญ่

🐶🐰

การเดินทางบนเกาะ เนื่องจากเกาะกูดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ มาทราบทีหลังเราใช้เวลาอยู่บนรถ 2 แถวประมาณ 40 นาที การขับรถบนเขานั้นก็มีเส้นทางที่ขดเคี้ยวบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี สำหรับใครที่คิดจะเดินทางมาที่นี่ และอยากพาสัตว์เลี้ยงมาด้วยนั้น ได้โปรดเชคความพร้อมของสัตว์เลี้ยงทุกท่านก่อนเดินทางด้วยนะครับว่า น้องๆมีอาการเมารถเมาเรือหรือเปล่า แล้วเดินทางนานๆได้ไหม คนเลี้ยงน่าจะสามารถเข้าใจสัตว์เลี้ยงของตัวเองได้ดีที่สุด ผมค่อนข้างมั่นใจว่าบางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับการพาสัตว์เลี้ยงเดินทางไปเที่ยว แต่สำหรับพวกเราเรามองว่าเขาแข็งแรง และโดยสัญชาติญาณของสัตว์แล้ว เขาอยู่ในธรรมชาติได้ เพียงแค่เราคอยสังเกตพฤติกรรมเขา ทำความเข้าใจ เราก็สามารถพาพวกเขาท่องเที่ยวไปกับเราได้เช่นเดียวกัน

🌴

เรามาถึงที่ To The Sea Resort เวลา 4 โมงกว่าๆ ทางเข้า Resort ช่วงต้นๆทาง ยังมีฝุ่นอยู่จำนวนมากเข้าใจว่าเป็นทางส่วนรวม แต่พอถึงบริเวณของทาง รีสอร์ทเอง ก็มีการปูถนนอย่างดีมีต้นไผ่สองข้างทาง เป็นการต้อนรับว่าเราได้เดินทางมาถึงแล้ว Logo ของ To The Sea เป็นรูปคล้ายๆก้อนหินซ้อนกัน หรือมองเป็นรูปชายฝั่งกับพื้นดินที่เกยกันคล้ายกับอ่าว ผมว่าเป็น Gimmick ที่น่ารักและดู Modern ดี รถสองแถวจอดบริเวณลานจอดรถ และมีพนักงานรีบเข้ามาช่วยพวกเราถือของเข้าไปยังในโซน Lobby อีกหนึ่งสิ่งนอกจากที่เราจะเห็นพนักงานคอยต้อนรับอยู่ที่บริเวณ Reception เราได้พบกับน้องหมาพันธุ์ Rodweiler สีน้ำตาลอ่อน ตาสีขาว อายุ 8 เดือน

คอยเห่าต้อนรับพวกเราอยู่ด้วย แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ น้อง Cooper สุนัขพันธุ์ Pitbull ตัวนี้อยู่ในการควบคุมดูแลของทาง Resort เป็นอย่างดี เฟรนลี่ในระดับที่คนไม่กลัวสุนัขตัวใหญ่สามารถเข้าไปจับลูบหัวทักทายได้ ผมคิดว่าที่เขาเห่าน่าจะเห่าทักทายเพื่อนสุนัขตัวจิ๋ว น้อง Muji และ Cheetah มากกว่า หลังจาก Check in พนักงานก็พาเราเดินมายังห้องพัก เราพักที่ห้อง 203 อยู่ในโซน Sea ที่นี่จะแบ่งเป็น 2 โซนด้วยกันคือโซน Garden กับ โซน Sea

🌊

สถานที่พักสวยงามน่าอยู่มากๆครับ บริเวณโดยรอบมีการจัดวางเลย์เอาท์ที่น่าสนใจเป็นสัดส่วน ทั้งโซนที่เป็นร้านอาหาร โซนที่เป็นสระว่ายน้ำ หรือโซนที่เป็นห้องพักต่างๆ บวกกับอุณหภูมิช่วงที่พวกเรามานั้น เย็นสบาย 25-30 องศาทั้งวันทำให้แม้จะมีแดดแต่ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนจนเกินไป มีลมพัดเย็นตลอดเวลา พวกเราเก็บของเข้าห้องพัก ห้องพักก็แบ่งโซนของเตียงกับห้องน้ำได้อย่างลงตัว

ผนังสีขาวกับงานไม้ตกแต่งแบบ Modern ของโครงสร้างภายนอกเข้ากันได้อย่างดีไม่ดูแข็งกระด้างจนเกินไป หลังจากเก็บของเสร็จเราก็พา Muji ออกมาเดินเล่น ถ่ายรูป ส่วน Miku เราปล่อยให้เขาพักผ่อนอยู่ในห้อง ดูจากท่าวิ่งเล่นไปมาในห้องแล้ว Miku ดูมีความสุขมากๆครับ เราจบวันแรกของการพักผ่อนด้วยการทานอาหารที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ท และต่อด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ กินขนม นั่งคุยนั่งเล่นกับ Muji Miku และ Cheetah ที่ระเบียงห้องพัก หัวถึงหมอนพวกเราก็หลับปุ๋ยสบายอุรากันมากๆ อันนี้น่าจะเป็นเพราะเราเดินทางกันมาทั้งวัน 💤

เช้าวันที่ 2 พวกเราตื่นมาตอน 8.30 น. ต้องบอกว่าอากาศโคตรดีเลยครับ

เย็นสบายมาก เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่ทาง Resort เตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย อากาศดีแบบนี้จะให้หมกตัวอยู่แต่ในห้องกลัวดำก็คงจะไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ผมต้องการคือการกลับไปกรุงเทพพร้อมกับผิวสีแทน ผมเลยเข้าไปหยิบหนังสือและหูฟังแล้วมานั่งนอนเหยียดตัวยาวที่ เตียงชายหาดที่ทาง Resort จัดวางไว้ทางด้านหน้าติดกับชายหาดสำหรับนอนมองฟ้า เอาร่ายกายไปสัมผัสกับลมทะเล ผมนอนอ่านหนังสือฟังเพลงอย่างสบายใจ บริเวณรอบข้างเป็นรีสอร์ทที่พักอีกหลายแห่ง ซึ่งคนที่มาพักส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซนต์ เป็นชาวต่างชาติ

ด้วยวันที่เราเดินทางมาเที่ยวเป็นวันธรรมดาซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ก็คงไปทำงานกัน แต่เนื่องจากมีวันหยุดคาบเกี่ยวอยู่ด้วยเลยทำให้มีครอบครัว คู่รัก แก๊งเพื่อนคนไทยอยู่บ้างประปราย ในขณะที่ผมนอนเล่นสบายใจอยู่ริมทะเล ด้วยความรู้สึกว่านี่มันสวรรค์ชัดๆ ก็มีบางอย่างมาตัดอารมณ์ผมให้รู้สึกเหมือนตกนรก  🔥🔥🔥

อาจจะฟังดูเกินไป แต่เริ่มรู้สึกว่าถูกคุกคาม จากกลุ่มครอบครัวคนไทยซึ่งมากันมากกว่า 10 คน เดินมายังบริเวณที่ผมนอนฟังเพลงอ่านหนังสือ ในใจคิดว่าเอาแล้วไง ความสงบที่เราต้องการกำลังจะถูกพรากไปจากคนพวกนี้แน่ๆ แต่ก็แอบคิดว่าเขาคงแค่มาถ่ายรูปเล่นแล้วเดี๋ยวก็คงเดินผ่านไป เพราะเท่าที่ทราบคนไทยจำนวนไม่เยอะหรอกครับที่อยากจะนั่งตากแดดตัวดำรับลมทะเล ที่เห็นก็มีแต่ต่างชาติเท่านั้นที่นอนอาบแดดกันตั้งแต่เช้ายันเย็น คนของครอบครัวนี้สามสี่คนเริ่มเดินมาส่งเสียงดังในบริเวณที่ผมนอนอ่านหนังสืออยู่ ผู้ปกครองเริ่มตะโกนบอกให้คนในครอบครัวมานั่งถ่ายรูปใกล้ๆเตียงที่ผมนอนอ่านหนังสือ แต่ด้วยความที่ผมใส่หูฟังอยู่เลย

คิดว่าจะทนได้ แต่ก็เริ่มมีเสียงโหวกเหวกโวยวายรอดผ่านเข้าหูฟัง เตียงนอนอาบแดดมีอยู่ด้วยกันประมาณ 12 ที่ ผมนอนอยู่ฝั่งนึง ซึ่งอีกฝากนึงก็มีเตียงโล่งๆอยู่ประมาณ 8 ที่ แต่เขาเลือกที่จะมานั่งส่งเสียงดังใกล้ๆที่ที่ผมนั่งอยู่ จากความสงบกลับกลายเป็นความน่ารำคาญใจ จนคนทั้งครอบครัวเดินมารุมยังบริเวณที่ผมอยู่  จากที่คิดว่าจะทนเพราะเดี๋ยวเขาก็คงจากไป กลายเป็นผมที่ยอมแพ้ให้กับความไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจของคนไทยด้วยกันเอง ผมจากไปแบบเงียบๆ แล้วปล่อยให้พวกเขาช่วงชิงเตียงนอนทั้งหมดส่งเสียงดังถ่ายรูปกับอย่างสนุกสนานต่อไป เราเลือกได้เสมอว่าที่ไหนที่เราอยู่แล้วสบายใจเราก็อยู่ ถ้าไม่สบายใจเราก็แค่เดินออกมา แต่อย่าแม้แต่ต่อล้อต่อเถียงถามเขาไปนะครับว่า เก๋า หรอ ไม่เช่นนั้นวันหยุด อาจจบลงแบบไม่สุข ก็เป็นได้

🌴🌴🌴

 🏝🏝🏝

จุดเด่นของ To the sea น่าจะเป็นที่ที่พักสวยงาม น่าอยู่ มีวิวโดยรอบที่สวยงาม ชายหาดหน้าบ้านถึงแม้ว่าเวลาน้ำขึ้นจะเหลือชายหาดอยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่น้ำใสเห็นตัวปลา และทรายก็ขาวดี เรียกว่ามาที่นี่สามารถใช้เวลาตลอดทริปได้ที่นี่ที่เดียวจบ ตลอดช่วงบ่ายของวันนี้เราชิวไปกับการแช่ตัวในทะเล แดดร้อนหน่อย ก็เปลี่ยนมาเล่นน้ำในสระ พอตกเย็นก็พา Miku มาวิ่งเล่นตรงชายหาด แลดู Miku จะชอบมากๆเพราะเกลือกกลิ้งเล่นทราย ขุดทรายทำให้นึกถึงพี่เปาตอนครั้งแรกที่เราพาพี่เปากับมูจิไปเที่ยวที่หัวหิน ตอนกลางคืนที่นี่ก็มีอาหารซีฟู้ดปิ้งย่างไว้บริการลูกค้า หรือจะสั่งอาหารจากในเมนูก็ได้ วันนี้เราเลยสั่งอาหารไปสามสี่อย่าง แต่ก็ต้องผิดหวังนิดหน่อยเพราะอาหารที่มาเสริฟรสชาดไม่ถูกปากเราซะเลย ด้วยความที่ทุกจานมีรสหวานนำ ต้องใช้คำว่าหวานมากในบางจาน อันนี้น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่พวกเราไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่สำหรับการมาพักที่นี่

เช้าวันที่ 3 วันนี้เป็นวัน Valentine ❤️

พวกเราพยายามตื่นมาตั้งแต่เช้าเพราะอยากได้แสงตอนเช้าที่ไม่แรงมากไว้สำหรับถ่ายรูปเด็กๆ เราออกจากห้องประมาณ 8 โมงเช้า มาพบว่าพระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเร็วมากและด้วยที่ไม่มีตึกสูงบดบังเหมือนกรุงเทพเลยทำให้แสงแดดแรงเป็นพิเศษ แต่อากาศเย็นสบายไม่รู้สึกร้อนเลย

💞💓💖💗

เราถ่ายรูปน้อง Muji และคลิปคาบดอกไม้เพื่อเป็นตัวแทนส่งคลิปนี้ไปบอกรักพี่ๆทุกคนทางหน้าเพจเย็นนี้ ช่วงบ่ายเราลองเปลี่ยนร้านทานอาหารมาเป็นร้านอาหารของรีสอร์ทข้างๆ ตัวรีสอร์ทชื่อว่า The beach natural resort ส่วนร้านอาหารชื่อว่า Prakarang หลังจากพวกเราลุ้นกันว่ารสชาดอาหารจะเป็นยังไงบ้างตอนสั่ง พออาหารมาถึงที่โต๊ะและเราได้ชิมของแต่ละคนกัน ก็ทำให้ได้ข้อสรุปว่ารสชาดดี และในเมนูมีอาหารเครื่องดื่มให้เลือกที่หลากหลายกว่า และเราตกลงกันว่าจะฝากท้องกันไว้ที่นี่ในมื้อเย็นด้วย ช่วงเย็นผมได้พบกับกิจกรรมใหม่คือการพายเรือ คายัค หลังจากได้พายไปในบริเวณรอบๆทำให้รู้ได้ว่าการพายเรือเป็นกิจกรรมที่สนุกมากๆ ผมพายไปยังสองฝั่งของที่พักเรา

🌹🌹🌹

ทั้งสองด้านมีที่พักอยู่อีกหลายที่และมีฝรั่งพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มื้อค่ำร้านอาหารที่พวกเรามาทานกันเมื่อช่วงบ่ายก็คราคร่ำไปด้วยผู้คนเนืองแน่นเต็มร้าน ผมเดาว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ที่พักอาศัยในรีสอร์ทรอบๆ อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้พบก็คือพนักงานของทั้งที่ To the sea หรือพนักงานร้านอาหารใน The beach natural resort ทุกคนดูเป็นมิตร พูดจาดี และยิ้มแย้มอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าพนักงานบางส่วนจะเดินทางมาทำงานจากประเทศเพื่อนบ้าน สำเนียงอาจจะฟังยากอยู่บ้าง แต่เรื่องมารยาทและความเฟรนลี่นั้นต้องขอปรบมือให้ ต้องขอชื่นชมทั้งตัวพนักงานเอง และการอบรมที่ดีของทางรีสอร์ทให้พนักงานรักในงานบริการและสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้ที่มาพักอาศัย 💁🏻‍♂️💁🏻‍♂️💁🏻‍♂️💁🏻‍♂️

เช้าวันที่ 4 เรียกว่ามาพักที่นี่ไม่ต้องเดินทางไปที่ไหนเลยครับ

วันนี้ผมเลือกนอนอ่านหนังสืออาบแดดชิวๆตลอดทั้งวัน และโชคดีมากที่ครั้งนี้ไม่มีคนมารบกวน แม้จะมีฝรั่งมานอนใกล้ๆ แต่ทุกคนก็รู้จักมารยาทในการใช้พื้นที่สาธารณะได้เป็นอย่างดี ไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น ทำให้ตัวผมได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศ ฟังเสียงคลื่น มองท้องฟ้า อาบแสงแดด ได้เต็มที่ และพยายามเก็บภาพความทรงจำนี้ไว้ให้ลึกที่สุด เผื่อเวลามองย้อนกลับมาสิ่งเหล่านี้จะย้อนกลับมาและบอกเราได้ว่า เรามีความสุขมากแค่ไหนกับการมาเที่ยวทริปนี้

เช้าวันที่ 5 วันนี้เป็นวันที่เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว👋🏻👋🏻👋🏻

ก็แปลกดีนะครับทุกครั้งความสุขมักเดินทางผ่านเราไปไวเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่ความรู้สึกของการเพิ่งมาถึงมาเยือนพวกเราอีกครั้ง เราใช้เวลาช่วงเช้าของวันสุดท้ายไปกับการถ่ายรูป Muji กับบรรยากาศรอบๆ

บางครั้งพวกเราก็สงสัยนะว่า Muji คิดอะไร น้องมูจะชอบถ่ายรูปไหม หรือรู้ไหมว่าการที่มีกล้องอยู่ตรงหน้านั้นคืออะไร แต่ไม่ว่าน้องมูจะคิดอะไร ชอบหรือไม่ชอบเราคงไม่สามารถรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเรารู้คือ ทุกครั้งที่เรากดชัตเตอร์ นั่นคือภาพความทรงจำที่เราได้ใช้ร่วมกัน เป็นช่วงเวลาที่พวกเราได้สื่อสารกันและพวกเราได้เป็นตัวกลางส่งผ่านภาพน่ารักๆของน้องมูไปถึงทุกๆคน และภาพเหล่านี้จะช่วยเล่าเรื่องราวประสบการณ์ต่างๆ ที่ครอบครัว Muji Sama ตั้งใจถ่ายทอดเพื่อเก็บความทรงจำดีๆที่เราได้มีอยู่ร่วมกันและได้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับพี่ๆเพื่อนๆที่ได้รู้จักน้องมู ได้มีความสุขร่วมกัน ^_^ พบกับพวกเราได้ใหม่ในทริป MUJI in Japan เร็วๆนี้นะครับ

 

🐶❤️🐰❤️👦🏻

Comments

comments